เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ก.พ. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันพระ วันพระ วันโกนเป็นวันแสวงบุญของชาวพุทธ ชาวพุทธปรารถนาบุญกุศลไง สิ่งที่ชาวพุทธปรารถนาบุญกุศลเพราะปรารถนาเรื่องความสิ้นไปแห่งทุกข์ ถ้าความสิ้นไปแห่งทุกข์นะ พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ แต่กิจกรรมที่เราทำกันอยู่นี้มันเป็นสภาวะไง มันเป็นสิ่งตามความเป็นจริง มันเป็นเรื่องของทาน ศีล ภาวนา เรื่องของทานๆ นะ วันพระ วันโกน เราไปวัดไปวาขึ้นมาเพื่อทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลของเราเพื่อปูพื้นฐานให้กับผู้ที่เขาฝึกหัดใหม่ๆ

การฝึกหัดใหม่ ถ้าเราไม่มีทาน ไม่มีทานของเรา หัวใจมันคับแคบไง ถ้าหัวใจมันมีทานของมัน ถ้ามีทาน มีศีล มีภาวนา ถ้าหัวใจของเรารู้จักการเสียสละทาน ถ้ารู้จักการเสียสละทาน มันยอมรับสภาวะความเป็นจริงๆ ไง ถ้าความเป็นจริง เราฝังไว้ จริตนิสัยของเยาวชน ถ้าเยาวชนเราฝึกหัดเขาๆ ฝึกหัดเขาขึ้นมา พอเขาโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เขาก็ฝึกหัดคนต่อไปๆ ไง ศาสนาจะยั่งยืน สำคัญที่ความเป็นมนุษย์ของคน ศาสนามันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก ถ้าหัวใจของสัตว์โลก ประเพณีวัฒนธรรมมันก็ปลูกฝังมากับความรู้สึกของคน

ความรู้สึกของคน ประเพณีวัฒนธรรมขึ้นมา ถ้าคนมันฟื้นฟูขึ้นมา สิ่งที่เป็นวัตถุๆ สิ่งที่เป็นสังคมๆ เดี๋ยวก็เจริญงอกงามขึ้นมาครั้งหนึ่ง เดี๋ยวก็ยุบยอบไปครั้งหนึ่ง แต่ความฝังใจในหัวใจ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริงไง ถ้าทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง วันพระ วันโกน เรามาวัดมาวาของเรา มาวัดมาวาของเราเพื่อฝึกหัดหัวใจของเรา ถ้าฝึกหัดหัวใจของเรา เห็นไหม คนสำคัญที่สุด คน ดูสิ เวลาถ้าคนที่ได้ฝึกหัดดีแล้ว คนที่ได้ฝึกหัดดีแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝึกหัดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ดวงเดียว ได้ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดวงเดียว เป็นผู้สั่งสอนเทวดา อินทร์ พรหมทั้งหมด

ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด มนุษย์ถ้าได้ฝึกหัดดีแล้ว มนุษย์ได้ฝึกหัดดีแล้วมันจะมีความสุขในหัวใจของตน ถ้ามันมีความสุขในหัวใจของตนนะ สภาวะแวดล้อมเป็นเรื่องรองๆ เลย แต่ถ้ามนุษย์ สิ่งที่มนุษย์มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราต้องเสมอสังคม เราต้องเทียบเทียมสังคม เราต้องเจริญก้าวหน้ากว่าเขา เราเจริญก้าวหน้า แบกทุกข์แบกยากทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้ามนุษย์ที่ฝึกดีแล้ว เราก็ต้องเทียมหน้าเทียมตาสังคมทั้งนั้นน่ะ เพราะมนุษย์ คนที่มีสติมีปัญญา หน้าที่การงานของเรา หน้าที่การงานของเรา ถ้าหน้าที่การงานของเรา เราเกิดมา ดูสิ พระเราบิณฑบาตมา ภัตกิจๆ นั่นก็เป็นหน้าที่การงานอย่างหนึ่ง การกินก็เป็นหน้าที่การงานอย่างหนึ่ง การกิน การอยู่ การอาศัยก็เป็นหน้าที่การงานอย่างหนึ่ง แต่เวลาเห็นว่าการกิน การอยู่เป็นความสุขไง เวลาหน้าที่การงาน การแสวงหานี้เป็นความทุกข์ความยากของเราไง

แต่ถ้าคนที่จิตที่ฝึกดีแล้ว จิตได้ฝึกดีแล้ว หน้าที่การงานเป็นการเคลื่อนไหว เป็นการทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ทำให้จิตใจผ่องแผ้ว ถ้าจิตใจที่ฝึกดีแล้วทำสิ่งใดก็มีความสุขไปทั้งนั้นน่ะ ถ้าจิตใจที่ยังไม่ได้ฝึกฝนมามันมีความทุกข์ความยากไปทั้งนั้น สิ่งใดที่เป็นของของเรานี้ไม่มีสิ่งใดเป็นที่น่ารื่นรมเลย สิ่งใดที่เป็นของคนอื่นมันน่ารื่นรมไปทั้งหมดเลย แต่ถ้าเราฝึกใจดีแล้วๆ สิ่งที่อยู่กับเรามันน่ารื่นรมไปทั้งหมดเลย มันน่ารื่นรมเพราะหัวใจเราดีแล้วไง ถ้าหัวใจดีแล้ว

ดูสิ อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นเศรษฐีนะ ซื้อเชตวันๆ เอาแบงก์ปูเลยนะ ปูเพื่อซื้อที่นี้ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาตกทุกข์ได้ยากขึ้นมา อนาถบิณฑิกเศรษฐีกินข้าวกับน้ำผักดอง มันจะสูงส่งแค่ไหน มันจะต่ำต้อยแค่ไหน อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็เป็นอนาถบิณฑิกเศรษฐีอย่างนั้นน่ะ สุดท้ายแล้วฟื้นฟูกลับมาๆ ก็กลับมาเป็นเศรษฐีเหมือนเดิมไง เขาไม่ทุกข์ไม่ยากของเขา

เวลาเขาทุกข์เขายาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บัญญัติวินัยนะ ไม่ให้เข้าไปในเขตบ้านของเสขบุคคล ถ้าเขามีเขาให้หมด ขนาดข้าวกับน้ำผักดอง พระมาต้องให้พระไปก่อน ให้พระไปก่อน เพราะหัวใจเขาสูงส่ง อนาถบิณฑิกเศรษฐี เห็นไหม

สิ่งที่จิตที่ฝึกดีแล้วๆ มนุษย์ถ้าได้ฝึกหัวใจของตนดีแล้ว ความทุกข์ความยากในหัวใจเบาบางลง ความทุกข์ความยากในหัวใจเบาบางลง เราจะมีความสุขๆ เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันยับยั้งความรู้สึกนึกคิดได้ เวลาความรู้สึกนึกคิดที่มันเผาลนตัวเองมันมีความทุกข์ความยากขึ้นมา เราฝึกหัดสติของเรา ฝึกหัดสติของเรา ถ้ามันยับยั้งได้ เรารับรู้รส รสของสติธรรม ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามาได้นี่เป็นสมาธิธรรม ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญามีความมหัศจรรย์

สิ่งที่เขามหัศจรรย์ มหัศจรรย์ในปัญญาๆ เป็นภาวนามยปัญญาไง ปัญญาที่รู้เท่าทันของตัวเอง ปัญญาที่รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตัวทั้งหมด ปัญญาที่ไม่ให้กิเลสมันเกิดขึ้นมาในหัวใจของเราเลย ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาที่ประเสริฐมาก มันมีรสมีชาติ มันมีความสุข

แม้แต่ความทุกข์เวลามันแผดเผาขึ้นมา เราก็รู้จักรสชาติของมันใช่ไหม เวลาจิตสงบลงได้ เรารู้รสชาติของความสงบระงับ รู้รสชาติของสมาธิธรรมไง แต่ถ้าเกิดปัญญาๆ ภาวนามยปัญญา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ดวงใจดวงใดที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมายังไม่เกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา เขาจะมีมรรคมีผลของเขาเป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าเขามีภาวนามยปัญญาขึ้นมา อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้นะ มันเป็นปัญญาญาณน่ะ ปัญญาญาณที่เกิดขึ้นในหัวใจมันจะเป็นความมหัศจรรย์ไง เพราะเวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติใหม่นะ เขาบอกว่าความคิดนี้เร็วมาก ความทุกข์ความยากในหัวใจมันเผาลนตลอดเวลาไง แต่เวลามีสติปัญญามันเท่าทันหมดๆ สิ่งที่เร็วๆ ขนาดนี้มันยังเท่าทันไง แล้วเวลาที่เกิดปัญญาๆ คนคนนั้นจะเห็นความมหัศจรรย์ของจิตของตนเอง จิตของตนเองที่มันทุกข์มันยาก ที่มันทุกข์มันยากเพราะเราไม่เห็นจิตของเราเองไง เราไปเห็นแต่ความคิดของเราไง ความคิด อารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่จิต เกิดจากจิต แต่ไม่ใช่จิต เวลาอารมณ์ความรู้สึกอันนั้นเรารับรู้ได้อารมณ์ความรู้สึกอันนั้นไง ความทุกข์ความยากอันนั้นมันแผดเผาเราไง แต่เราไม่เห็นจิตใจของเราเลยไง

ที่ว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันเบียดเบียนหัวใจของเรา มันย่ำยีหัวใจของเรา ความคิดๆ ถ้าความคิดมันเป็นเรา เวลาความคิดที่มันดับไปแล้ว ความคิดที่มันเคยคิดแล้วหายไป แล้วทำไมเรายังอยู่ล่ะ

ความคิดไม่ใช่เรา เกิดจากจิต ความคิดเกิดจากจิต เพราะมันไม่มีสติปัญญา ไม่มีการฝึกหัด ไม่รู้เท่าทันความคิดของตน แล้วไม่มีสติไม่มีปัญญา ไม่มีมรรคไม่มีผลได้มีความเห็นในหัวใจของตน มันไม่เป็นปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโก

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยไหนก็ศึกษามาเพื่อประดับปัญญาของตนๆ ปัญญาอย่างนี้เป็นโลกียปัญญา ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาวิชาชีพ โลกียปัญญาคือปัญญาของโลก ปัญญาของโลกเกิดจากโลกทัศน์ เกิดจากจิตๆ แต่มันไม่ใช่จิตไง แต่เวลาทำความสงบของใจเข้ามามันเข้าสู่จิตของตนเองๆ สัมมาสมาธินั่นคือจิตของตน

เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา เวลาฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นมาๆ เวลาปัญญามันเกิดขึ้น เรารู้เราเห็นทั้งนั้นน่ะ เรารู้เราเห็นทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นนะ เราจะแก้กิเลสเราได้อย่างไร แต่ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่เพราะมันไม่รู้ เพราะมันไม่รู้ รู้แต่ความคิดของตน รู้แต่สัญญาอารมณ์นะ แล้วก็มองสื่อภายนอก พอมองสื่อภายนอกก็เรื่องของความเป็นอยู่ เรื่องของสังคม แล้วเราก็พยายามส่งออกไปทั้งนั้นน่ะ แต่จิตมันส่งออกไปๆ ไง ความเป็นอยู่ของสังคม ความเป็นอยู่ของเรา เราต้องอยู่ให้ได้อย่างนั้น เราต้องเป็นอย่างนั้น เราต้องเป็นอย่างนั้น มันก็ส่งออกทั้งนั้นน่ะ

ความส่งออกไปนะ แล้วข้างในพื้นฐานมันไม่แข็งแรงนะ มีแต่ความทุกข์ความยาก แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านจะส่งออกขนาดไหน แต่ถ้ามันมีพื้นฐาน มีพื้นฐานของเรา พื้นฐานที่เราฝึกดีแล้ว เราต้องสื่อสาร เราต้องคุยทั้งนั้นน่ะ แต่การสื่อสารการคุย แต่พื้นฐานของเรามั่นคงขึ้นมา มันส่งออกไปมันก็ไม่ออกไปทั้งหมดใช่ไหม มันออกไปสื่อสารเพื่อความเป็นจริงใช่ไหม แต่มันมีปัญญารู้เท่า แล้วถ้าเราฝึกหัดของเรา ปัญญามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้

ที่เรามาวัดมาวา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน ธรรมะทั้งหลายลงสู่หัวใจของสัตว์โลก ลงสู่หัวใจของสัตว์โลกนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนคนที่มีกิเลส เวลาคนที่สิ้นกิเลสไปแล้วนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องสอน สิ่งนั้น เพราะเขาสิ้นกิเลส เขาก็รู้ความเป็นจริงของเขาอยู่แล้ว แต่เวลาสอน เขาสอนคนที่มีกิเลส แต่เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติก็บอกว่า “เราคนกิเลสหนา เราคนที่ไม่มีความสามารถ เราคนที่ทำสิ่งใดไม่ได้ เราอำนาจวาสนาน้อย” นี่เวลากิเลสมันตัดทอนมันตัดทอนอย่างนี้

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรานะ มันก็ชีวิตประจำวันเรานี่แหละ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาหัวใจเราเกาะไว้ พุทธานุสติ ที่มันจะเป็นพุทธานุสติได้เพราะจิตของเราเกาะพุทโธ ถ้าเกาะพุทโธมันก็เป็นพุทธานุสติ ทั้งๆ ที่เราศึกษามา พุทธะ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราศึกษามาทั้งนั้นน่ะ แต่ความศึกษามามันก็ศึกษามา สัญญาอารมณ์ๆ ไง แต่เวลาความคิด ความรู้สึกเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นอย่างนี้

แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธๆ เวลาพุทโธมันละเอียดเข้ามามันปล่อยทิ้งหมด มันปล่อยพุทโธด้วย ตัวมันเองมันเป็นตัวของมันเอง ตัวพุทโธแท้ๆ พุทธะแท้ๆ คือความรู้สึกของเรา ถ้าความรู้สึกของเรามันปล่อยพุทโธเข้ามา ความรู้สึกนึกคิดก็เหมือนกัน ความคิดที่มันเกิดดับๆ ก็ความคิดเราทั้งนั้นน่ะ เวลามันปล่อยเข้ามามันก็ปล่อยเข้ามาสู่จิต แต่มันปล่อยเข้ามาสู่จิตแล้วมันไปไหนล่ะ มันไปไหน เพราะมันไม่มีสติ มันไม่มีผู้ที่รักษา มันก็หายไปเลย ก็กลายเป็นตกภวังค์ กลายเป็นนั่งหลับไปไง การนั่งหลับ เราก็นอนหลับอยู่แล้ว เวลาเราพักผ่อนนอนหลับเราก็นอนของเรา แล้วเวลานอนหลับ จิตเราอยู่ไหนล่ะ

นี่เหมือนกัน เวลาพุทโธ เวลานั่งสมาธิภาวนาปล่อยให้มันหายไป แล้วบอกนั่นเป็นสมาธิๆ...นั่นเป็นภวังค์ทั้งนั้นน่ะ การนอนหลับก็เป็นภวังค์ชนิดหนึ่ง นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นภวังค์ ถ้ามันเป็นสมาธิก็เป็นมิจฉาสมาธิ

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมามันสติสมบูรณ์ พุทโธของเรา ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา ถ้ามันสงบระงับเข้ามา สงบระงับเข้ามามันมีสติพร้อมทั้งนั้นน่ะ เวลาคนทำสมาธิได้ตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นมากเพราะมันเป็นความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์ จิตของเรานี่แหละ ที่คนทุกข์คนยากอยู่นี่ เวลามันเป็นจริงขึ้นมามันมหัศจรรย์ ทั้งๆ ที่ของเรา เราเห็นเองนะ เราก็มหัศจรรย์ตัวของเราเอง เรามหัศจรรย์จิตของเราเอง ถ้ามหัศจรรย์จิตของเราเอง ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ จิตที่สูงกว่าคอยพัฒนาขึ้นมา มันจะพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร

จิตที่สูงกว่า สิ่งที่สูงกว่าก็เคยผ่านมาแล้ว สิ่งนั้นพอมันสงบเข้ามามันมีสติสัมปชัญญะพร้อม มันจะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ แล้วสมาธิมันมีประโยชน์อะไรล่ะ สมาธิมันมีความสุขไง

เวลานักปฏิบัติเขาบอกว่า “สมถะไม่จำเป็น สมาธิไม่จำเป็น ใช้ปัญญาไปเลย ใช้ปัญญาไปเลย” ดูถูกเหยียดหยาม ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น

แต่ถ้าคนรู้คนเห็นนะ สัมมาสมาธิ ตัวสมาธิเองมันก็มีความสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบจนติดสมาธิได้ คนที่เข้าสมาธิที่ไม่มีวุฒิภาวะบอกว่าสมาธินั่นคือนิพพานแล้วกันแหละ แต่ถ้าบอกว่าถ้าอย่างนั้นมันมีโทษอย่างนั้นเราทำสมาธิไปเพื่ออะไร

เราทำสมาธิไปก็เพื่อความสุขความสงบของเราไง ถ้าไม่มีความสุขความสงบของเราก่อน เราจะทำงานอะไร คนเหนื่อยยากมา คนทุกข์ยากมา จิตใจจะขาดรอนๆ บอกให้ทำงานๆ มันจะทำอะไร มีแต่ความทุกข์ความยาก จิตใจมันโดนกิเลสบีบคั้นมาแล้วบอกว่าใช้ปัญญาไปเลยๆ...มันปัญญาอะไร มันปัญญาของคนขาดแคลนไง ปัญญาของคนทุกข์ยากไง

แต่ถ้าทำสัมมาสมาธิ ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจสงบเข้ามาก่อน เวลาใจสงบเข้ามาก่อนมันสมบูรณ์ขึ้นไหม มันไม่ใช่คนทุกข์คนยาก มันไม่ใช่คนขาดแคลนเพราะมันมีความสุขไง

คนเรานะ เวลาหิวกระหายมาขนาดไหน ได้ดื่มน้ำเข้าสักพักหนึ่ง ได้พักผ่อนแล้วมันจะมีความสุขมาก คนเรา ความสุขอย่างนั้นจิตสงบมันจะเป็นแบบนั้นน่ะ จิตสงบมันมีความสุขของมัน มันมีความสุขของมัน คนที่สุข คนที่สงบ คนที่มีกำลัง คนที่มีพลัง จิตที่มีกำลังๆ ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ปัญญาอย่างนั้นมันถึงจะเกิดขึ้นไง

“ไอ้ปัญญาอย่างนั้นเราใช้ปัญญาไปเลย สมาธิไปทำทำไม สมาธิมันเป็นสมถะ สมาธิมันไม่เกิดประโยชน์”

แหม! คนทุกข์แล้วมันสุขมันไม่เกิดประโยชน์ได้อย่างไร ไอ้คนทุกข์คนยากแล้วมีความสุขมันบอกว่าไม่เกิดประโยชน์ แต่มันไม่เคยสุขน่ะสิ มันไม่เคยเจอสมาธิจริงๆ มันไม่เคยพักใจได้จริงๆ มันถึงบอกมันก็เหมือนกันไง เราก็ทุกข์เราก็ยากอยู่แล้ว พอปฏิบัติสมาธิ ยิ่งปฏิบัติมันก็ทุกข์ เพราะมันยังไม่ลงสมาธินะ มันก็ทุกข์เหมือนกันไง ก็บอกอย่างนั้นไม่มีประโยชน์...ก็เอ็งยังปฏิบัติยังไม่ได้ผลมันก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ แต่เวลาเอ็งจิตสงบแล้ว ทำไมจะไม่ได้ประโยชน์

คนทุกข์คนยากมานะ เวลาได้พักได้ผ่อนแล้วทำไมมันจะไม่มีประโยชน์ แล้วประโยชน์อันนั้นมันสดชื่น สดชื่นแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา แล้วถ้าปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นนะ เราจะเห็นเลยล่ะ อ๋อ! ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิมันจะมีคุณประโยชน์อย่างนี้ ปัญญาที่เราเกิดขึ้นกันเอง ที่ว่ามันเป็นปัญญามันเป็นสัญญาทั้งนั้น การศึกษามาคือการจดจำมาทั้งนั้น การจดจำมาคือการคาดการเดาทั้งนั้น สิ่งที่ว่าเกิดขึ้นๆ ว่าเป็นปัญญาเป็นการคาดการหมาย การด้นการเดาทั้งนั้น มันไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อยเลย เพราะไม่มีสมาธิ

พอมีสมาธิขึ้นมามันจะเป็นการคาดการเดาได้อย่างไร เพราะสัมมาสมาธิมันมีความสุข ความสงบ ความระงับ แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เวลาเกิดขึ้นจริงมันจะเกิดความมหัศจรรย์ซ้ำสองไง เวลาเกิดความสุขมันก็เกิดความมหัศจรรย์แล้วชั้นหนึ่ง เวลาเกิดภาวนามยปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิมันจะเกิดความมหัศจรรย์อีกชั้นหนึ่ง เพราะมันถอดมันถอน มันคลาย โอ๋ย! มันโล่งมันโถง

แล้วเวลาเรียนมานะ เวลาไปศึกษาธรรมะ เวลาไปรู้สิ่งใดก็ตื่นนะ อู้ฮู! ดีมาก ดีมาก...ไอ้ดีมากมันจำมาทั้งนั้นน่ะ เวลาดีจริงๆ พูดไม่ออก พูดไม่ออก หมายความว่า มันอ้างอิงออกมาไม่ได้เลย มันจะพูดออกมาให้เป็นความรู้สึกให้มันสมบูรณ์ในความเห็นของเรามันพูดไม่ได้ แล้วมันพูดไม่ได้

เวลามีปัญหา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปถามปัญหาหลวงตา หลวงตาท่านบอกไม่ต้องพูดหรอก เราเข้าใจ ท่านไม่ต้องพูด ไอ้คนที่มันเกิดจริงๆ นะ มันจะอธิบายความเป็นจริงของมัน มันอธิบายออกมาไม่ได้ เวลาอธิบายไม่ได้ เอิ๊กๆ อั๊กๆ

หลวงตาบอกไม่ต้องพูดหรอกเราเข้าใจ เราเข้าใจ เห็นไหม คนที่ปฏิบัติแล้วเขาเข้าใจ ไอ้คนที่ไม่ปฏิบัติพูดแล้วมันกลัวผิดพุทธพจน์ ต้องให้เหมือนหมดเลย เหมือนก็เป็นสัญญาหมดเลย เหมือนก็เป็นจริง ทั้งๆ ที่สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ เวลาท่านสำเร็จแล้ว เวลาสั่งสอนมาได้ภิกษุมา ๖๐ องค์นะ ท่านบอกเอง “เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงอย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นถึงหัวใจของสัตว์โลกที่มันทุกข์มันยาก แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่เป็นชาวพุทธจะมาดูถูกดูแคลนคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่ใช่ดูถูกดูแคลนคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่การจำมันเป็นการจำ แล้วมันมีกิเลสมาเทียบมาเคียง มันมีกิเลสบังเงาไง กิเลสนั้นมันก็ธรรมะปฏิรูปๆ กิเลสมันก็พยายามจะดัดแปลงให้พอใจของตน ตนทำได้แค่ไหนมันก็บอกนี่พุทธพจน์ถูกต้องๆ...นั่นแหละอ้างพุทธพจน์ๆ มันไม่เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก

ถ้ามันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันต้องอ้างผลของการปฏิบัตินั้น มันต้องอ้างผลที่ตามธรรมขึ้นมานั้น ไม่ใช่อ้างพุทธพจน์ๆ

การอ้างพุทธพจน์เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังหน้าไว้ แล้วฉันพูดเรื่องพุทธพจน์แล้วใครอย่าเถียงนะ ถ้าเถียงถือว่าดูหมิ่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...ดูกิเลสสิ กิเลสมันหลอกเราได้ชั้นหนึ่งนะ มันยังถือทิฏฐิมานะเอาพุทธพจน์มาบังหน้า แล้วเที่ยวระรานคนอื่นนะ แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านเอาความจริงในหัวใจ นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก

เราเป็นชาวพุทธไง มนุษย์สำคัญที่สุด ในหัวใจของเรามีโอกาสมาก การเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีคุณค่ามาก ถ้ามนุษย์มีคุณค่า มนุษย์มีกายกับใจๆ หน้าที่การงานของเรา เราหามาเพื่อสังคม หามาเพื่อชีวิตของเรานี่แหละ แต่ธรรมะเพื่อหัวใจๆ ไง แล้วถ้าใครเห็นคุณค่าของหัวใจ ใครเห็นคุณค่าของความทุกข์ความยาก แล้วฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะได้สมบัติจริงๆ ไง เราจะได้ของแท้ๆ นะ

สาธุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นรัตนตรัยของเรานะ เราเคารพบูชาทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเป็นจริงๆ เราก็อยากได้เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นความจริงของเราขึ้นมานะ ถ้าเป็นจริงขึ้นมาแล้วไม่สงสัยในพุทธพจน์หรอก ไม่สงสัยในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่คนที่ยังไม่มีปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกความเป็นจริง อ้างๆๆ อ้างไปทั่ว แล้วเวลาอ้างขึ้นมาก็สมบัติอ้างไง ไม่ใช่สมบัติความเป็นจริงไง

เราจะเอาสมบัติความเป็นจริง เราถึงพยายามฝึกหัดของเรา ฝึกหัดของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้ามีสติ อย่าหายใจทิ้งเปล่าๆ อยู่ที่ไหนก็ต้องหายใจอยู่แล้ว หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ไอ้ที่มันคิดฟุ้งซ่านไป ไอ้คิดวิตกวิจารณ์ไป ดับหมด แล้วเราจะมีความสุขพอกับดำรงชีวิตของเรา เอวัง